ถ้ำตาปาน

คำอธิบาย


(คำเตือน คำบรรยายและภาพรูปปั้นเตือนใจช่วงต้นอาจมีเนื้อหารุนแรงไปบ้าง โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม)

ถ้ำตาปานตั้งอยู่ที่ตำบลท้ายช้าง อำเภอเมืองพังงา จังหวัดพังงา ถ้ำนี้อยู่ในเขตวัดถ้ำตาปาน ซึ่งปัจจุบันมีสถานะเป็นสำนักสงฆ์ ภายในวัดแวดล้อมด้วยธรรมชาติของป่าเขาและความร่มรื่น นอกจากนี้ยังมีเจดีย์อยู่บนเขาให้นักท่องเที่ยวเดินขึ้นไปและมีดินแดนนรกที่จำลองการลงโทษผู้ทำกรรมให้ชมด้วย

สำหรับถ้ำตาปานมีความลึกประมาณ 600-700 เมตร ภายในถ้ำมีหินงอกหินย้อยที่สวยงาม


มีภาษาอังกฤษคำหนึ่งที่ผุดขึ้นมาในหัวทีมงานนั่นคือ Off the beaten track คำนี้หมายถึง"เส้นทางหรือสถานที่ที่ไม่ค่อยมีคนรู้จัก" ที่นึกถึงคำนี้เพราะว่า แม้ชาวพังงาต่างก็รู้จักถ้ำตาปาน แต่ก็ไปแค่หน้าถ้ำเท่านั้น ไม่มีใครรู้เลยว่าในถ้ำเป็นยังไง แถมข้อมูลในเน็ตก็ไม่มี ทีมงานเลยขอเป็น National Geographic ในการสำรวจโลกครั้งนี้ซะเลย
- เนื่องจากถ้ำตาปานอยู่ในสำนักสงฆ์ถ้ำตาปาน และที่นี่ก็แวดล้อมด้วยธรรมชาติและสิ่งก่อสร้างที่น่าสนใจ ดังนั้นก่อนจะเข้าถ้ำตาปานที่อยู่ด้านหลัง ทีมงานขอทำความรู้จักกับสำนักสงฆ์ที่อยู่ด้านหน้าก่อน
ซ้ายบน – วัดถ้ำตาปานหรือสำนักสงฆ์แห่งนี้แวดล้อมด้วยป่าเขาเขียวชอุ่ม ด้านล่างมีรูปปั้นสัตว์ต่างๆ ซึ่งสัตว์เหล่านี้คือปีนักษัตรที่เรียงติดกันไป ส่วนด้านบนเหนืออักษร nder ขึ้นไปคือ เจดีย์ที่สร้างอยู่บนเขา
- สำนักสงฆ์มีพื้นที่หลายจุดให้เราเยี่ยมชม เช่น ศาลาไหว้พระ อาศรมตาปาน ประตูสู่ปรินิพพาน หน้าผาสักการะเทวรูป รูปปั้นฤาษี และต่อไปก็คือภาพนี้
ขวาบน – มุมนี้อยู่ด้านหลังสำนักสงฆ์ บริเวณนี้เป็นทางเดินที่เงียบสงบและร่มเงา นอกจากนี้ยังมีพระพุทธรูปปางต่างๆเคียงข้างตลอดทาง
- จากนั้นไปขึ้นเจดีย์บนเขาเลย
ขวาล่าง – บันไดทางขึ้นเจดีย์จะยาวแบบนี้ (จากภาพ เมื่อขึ้นไปด้านบน ด้านหลังอักษร ง.งู ของอักษร“ขวาล่าง”ไปทางขวา จะมีบันไดแยกไปทางขวาเพื่อขึ้นเจดีย์ต่อ แต่ถ้าทุกคนมองไปใต้อักษร“ขวาล่าง”เลย เราจะเห็นบันไดเช่นกัน บันไดนี้เป็นบันไดแยกไปทางซ้ายเพื่อขึ้นเขา แต่ตอนนี้ทางปิดเนื่องจากต้นไม้รกอย่างแรงจนไม่สามารถไปได้)
ซ้ายล่าง – ทางเดินรอบเจดีย์ด้านบน
ล่าง – ไฮไลต์บนเจดีย์ก็คือ ทิวทัศน์ของอำเภอเมืองพังงา สวยงามและมองเพลินมาก



จุดเด่นอีกอย่างก็คือ รูปปั้นแดนเปรตและแดนนรก
ซ้ายบน – สะพานมังกรข้ามนรก (จากภาพ บริเวณนี้เป็นปากมังกร นักท่องเที่ยวสามารถเดินเข้าปากมังกรได้ ด้านในเป็นอุโมงค์ทางเดินและมีค้างคาวบินเข้าไปเกาะบนเพดานอุโมงค์อยู่เป็นระยะ สำหรับเส้นทางนี้เป็นทางตรงไปถ้ำตาปานที่อยู่ด้านหลังและสามารถไปชมแดนนรกได้ด้วย ซึ่งถ้าไปชมเรื่องราวของนรกก่อน เมื่อออกจากสะพานมังกรข้ามนรก จะมีทางแยกไปขวามือเพื่อไปแดนนรกต่อ แต่ถ้าไม่เลี้ยวขวา แล้วเดินตรงไป ก็ไปถ้ำตาปานทันที)
- แดนนรกเป็นเช่นไร ไปเปิดประตูนรกพร้อมกัน ณ บัดนี้
ขวาบน – พญายมและผู้ช่วยกำลังแจกแจงกรรมของมนุษย์แต่ละคนที่เคยก่อไว้ในภพโลกพร้อมกล่าวบทลงโทษที่ต้องชดใช้ (จากภาพ สำหรับสะพานมังกรข้ามนรก ถ้าเดินพ้นอุโมงค์ออกมา แล้วเลี้ยวขวาไปแดนนรกก่อน นักท่องเที่ยวจะเห็นฉากนี้เป็นจุดแรก)
- เมื่อเดินผ่านพญามัจจุราชไป ก็ได้เวลาของมนุษย์ที่ก่อกรรมทำเข็ญมารับโทษในขุมนรก สำหรับโซนนี้ นักท่องเที่ยวสามารถเดินมาจากสะพานมังกรข้ามนรกหรือจะเดินลงบันไดบริเวณแดนเปรตก็ได้ ส่วนตอนนี้ทีมงานขอคัดบทลงโทษมาให้ชมกัน
ซ้ายกลาง – ด้วยเครื่องบดร่างที่มนุษย์คนนี้โดน เขาคงแสนสาหัสไม่น้อย ตอนนี้นายนิรยบาลสองตนกำลังหมุนเครื่องบดเพื่อขยี้ร่างให้แหลกอยู่ แต่ที่สร้างความเข้มข้นคือ มีผู้คุมพญานกเอาเท้าจิกลงร่องก้นและกลางหลัง(ตามภาพที่แนบมาเพื่อให้เห็นอีกด้าน) แล้วช่วยยันร่างเข้าเครื่องบดจนเลือดอาบร่องเหล็ก (จากภาพ กรรมแบบนี้พาลนึกถึงคนที่ขับรถประมาท เช่น เมา แล้วไปเหยียบชาวบ้านจนสิ้นลม)
ขวากลางบน – ผู้หญิงคนนี้ต้องเคยทำร้ายหรือทารุณสัตว์ถึงถูกสุนัขตัวนี้หวนกลับมาขย้ำหน้าอกอย่างแรงจนเลือดเต็มปาก
ขวากลางล่าง – ใครที่เคยใส่ร้ายป้ายสีจนสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นอย่างหนัก เมื่อตกนรก ต้องโดนนายนิรยบาลตัดลิ้นขาดสะบั้น
- ทีแรกกะดิ่งมาเข้าถ้ำตาปานเลย แต่ทีมงานเดินชมสำนักสงฆ์ถ้ำตาปานจนลืมมองเข็มนาฬิกา ตอนนี้ต้องรีบเข้าถ้ำตาปานแล้ว สำหรับถ้ำตาปานมีระยะทางในถ้ำประมาณ 600-700 เมตร ภายในถ้ำมืดสนิทและไม่มีแสงใดๆ
ซ้ายล่าง – จากปากถ้ำเข้ามา ทางช่วงแรกเป็นทางแห้งและมีร่องน้ำคล้ายคลองอยู่ด้านล่าง จากนั้นทางเดินแห้งก็เปลี่ยนเป็นขึ้นเนินเขาในถ้ำ ส่วนร่องน้ำจะหายไปอีกทางก่อนจะวกกลับมาเจอกันใหม่ สำหรับทางช่วงแรกมีสะพานข้ามร่องน้ำอยู่สองจุดและมีมุมสักการะพระอินทร์ด้วย
ขวาล่าง – หน้าตาของหินประหลาดที่เหมือนสัตว์(กำลังเดิน)



ได้เวลาเปียกแล้ว
ซ้ายบน – เมื่อทีมงานเดินมาบรรจบกับร่องน้ำอีกครั้ง ร่องน้ำที่วนกลับมาใหม่นี้ก็คือ ทางน้ำเดียวกันและเป็นเส้นทางที่เราต้องเดินตลอดถ้ำ ฉะนั้นเรื่องเปียกแฉะจึงเลี่ยงไม่ได้ ส่วนเส้นทางนับจากนี้จะสูงและแคบไปตลอด
ขวาบน – พื้นทางเดินระหว่างทางมีหินคล้ายตัวเต่าเลย มุมใกล้เป็นกระดอง มุมไกลคือหัวเต่า
ขวากลางบน – น้ำที่หยดจากซอกหินบนเขาและพาสารละลายธาตุเหล็กมาด้วย ทำให้หินแถบนี้เป็นสีเหลืองชุ่มอยู่ตลอด
ซ้ายล่าง – ทางเดินหลายจุดในถ้ำเป็นเหมือนลำคลองแคบๆ ดังนั้นทุกคนต้องพร้อมลุยทุกสภาวะ บางจุดสูงแค่ข้อเท้า บางจุดถึงหน้าแข้ง บางจุดก็เท่าเข่า แต่บางจุดก็อาจเลยเข่า ระดับน้ำขึ้นอยู่กับฟ้าฝนนอกถ้ำเป็นตัวแปร
ขวาล่าง – ผนังหินบริเวณนี้โดนเคลือบจนมีสีเหลืองนวลทั้งแผง



เส้นทางในถ้ำมีอยู่ช่วงหนึ่งที่พบทางแยกด้วย เราต้องเดินไปทางซ้ายเท่านั้น ถ้าเราเดินแยกไปทางขวา เส้นทางนั้นจะลึกเข้าไปอย่างเดียว แต่ยังไม่มีใครเคยพบทางออก
ซ้ายบน – มีอยู่หนึ่งจุดที่เราทุกคนต้องก้มหัวแบบยองๆลอดเพดานถ้ำเตี้ยๆเข้าไป (จากภาพ ถ้าใครมาตอนช่วงฝนชุก จะไม่สามารถเข้าถ้ำตาปานได้เนื่องจากระดับน้ำจะสูงจนมิดเพดานถ้ำเตี้ยๆช่วงนี้ ทำให้ทางเดินจุดอื่นๆลึกไปถึงเอวและอก
ขวาบน – นักท่องเที่ยวต้องเดินลุยน้ำที่ขังอยู่ในถ้ำหลายช่วง (จากภาพ มีปลาว่ายไปมาในน้ำมืดๆด้วย ตัวขาวๆยาวๆเรียวๆ)
ซ้ายกลางบน – เส้นทางในถ้ำแฉะบ้าง ขรุขระบ้าง มีหินมาขวางบ้าง แถมเส้นทางก็ซอกแซกไปมา
ซ้ายกลางล่าง – หินก้อนนี้วางอยู่บนทางเดินและถูกเคลือบเงาจนคล้ายสมองมนุษย์ ธรรมชาติใช้เวลาอย่างเงียบๆมานานกว่าจะประดิษฐ์ผลงานได้แบบนี้
ขวากลาง – ผนังถ้ำบริเวณนี้มีหินย้อยที่เปล่งประกายระยิบระยับเลย
ซ้ายล่าง – เรายังคงลุยน้ำกันต่อ แฉะบ้าง ท่วมบ้าง ทุกคนต้องพร้อมรับมือ
ขวาล่าง – มาชมประติมากรรมผนังหินในถ้ำสักหนึ่งจุด

 


ใกล้ถึงทางออกแล้ว
ซ้ายบน – เส้นทางในถ้ำช่วงต่อมา
ขวาบน – เพดานถ้ำก่อนถึงปากทางออก
ซ้ายล่าง – ในที่สุด ทีมงานก็เดินมาถึงปากถ้ำอันยิ่งใหญ่อีกด้านแล้ว จากด้านล่างที่ทีมงานยืนอยู่นี้ เราต้องเดินไต่ขึ้นไปปากถ้ำด้านบน ซึ่งสูงประมาณตึกสี่ชั้น
- แต่ก่อนจะถึงปากถ้ำด้านบน จุดพีกช่วงท้ายแบบไม่คาดคิดมาก่อนก็มาถึง
ขวาล่าง – เส้นทางช่วงท้ายบริเวณตึกชั้นสี่ ทีมงานลองดูเส้นทางหลายจุดแล้ว เส้นทางนี้เป็นทางเดียวที่เป็นไปได้มากที่สุดในการออกจากถ้ำ (ในกรณีที่เราไม่ได้แบกตัวช่วยปีนเขามาด้วย) แต่เป็นเส้นทางที่ระทึกใจจริงๆ ตอนนี้ให้ทุกคนมองไปที่อักษร w ตัวแรกเลย ด้านหน้าอักษร w ตัวแรกจะเห็นพื้นหินที่มีใบไม้หล่นอยู่ จุดนั้นคือจุดแรกที่ทุกคนเริ่มวัดใจเพราะถ้าเราหันหลังไปมองนับจากนี้ ด้านหลังก็คือเหวสูงประมาณตึกสามชั้น และจากทางเดินช่วงนี้ ถ้าหันหน้าเข้าผนังหิน เราไม่สามารถเอามือเกาะหรือยึดอะไรได้เลยเนื่องจากผิวหินเรียบมนทั้งหมด ถ้าจะจับ ก็ได้แต่แตะเฉยๆ เราต้องเดินแบบห้ามเซ ห้ามสะดุด ห้ามลื่น ห้ามขาสั่น ห้ามอะไรทั้งนั้น ส่วนบันไดไม้ด้านล่างพึ่งไม่ได้เพราะกรอบหมดแล้ว แต่ทีนี้ทีมงานเห็นเชือกยาง(คล้ายสายไฟ)พาดมาจากไหนไม่รู้ (ถ้าสังเกตในภาพ จะเห็นสายห้อยโตงเตงอยู่) ทีมงานลองเอามือจับและรั้งดู ก็ดูแข็งแรงและยึดแน่นดีเหมือนมีคนตั้งใจทำไว้ให้ แต่ถ้าจะทิ้งน้ำหนักตัวลงเชือกยางทั้งหมด แล้วเดินไป อันนี้ไม่มั่นใจว่า สายนี้ผูกอยู่กับอะไร ฉะนั้นประคองตัวเดินไปให้มั่น(แต่จับช่วยเฉยๆเพื่อความอุ่นใจ)น่าจะเป็นเรื่องดีที่สุด เมื่อเดินมาถึงตำแหน่งอักษร dernt ซึ่งเป็นจุดวัดใจช่วงท้าย แล้วเดินทรงตัวไปถึงหินที่มีแสงส่อง ก็แฮปปี้เอนดิ้งเนื่องจากแถบนั้นมีแง่งหินให้ยึดและเท้าสามารถเหยียบประคองขึ้นไปปากถ้ำซึ่งอยู่ห่างอีกประมาณตึกหนึ่งชั้น ถ้าดูจากภาพ เส้นทางตั้งแต่ใบไม้หน้าอักษร w ตัวแรกไปจนถึงหินที่มีแสงแดดจะสั้นมาก แต่เผอิญเป็นทางแคบและไม่มีแง่งหินให้เกาะ แถมด้านหลังเป็นเหว ตอนเดินเลยต้องใช้เวลา ที่สำคัญคือคุณต้องไม่กลัวความสูงและมีสติในทุกก้าว (จากภาพ ในอดีตเคยมีอีกเส้นทางหนึ่งที่ออกง่ายกว่ามาก คือจะมีปากถ้ำอยู่ตรงพื้นด้านล่างให้เราเดินออกชิลๆเลย แต่เมื่อสิบกว่าปีก่อน เพดานถ้ำทรุดตัวลงและถล่มปิดทางไป อนึ่ง หลังจากเดินพ้นปากถ้ำไปแล้ว ทีมงานนึกว่า จะเป็นเส้นทางเดินลงเขาเลย แต่เปล่าเลย กลับเป็นทางดินลูกรังที่ชาวบ้านทำไว้สัญจร แต่เป็นทางขึ้นเนินเขาต่อ แล้วค่อยลงเขาใหม่ ซึ่งช่วงขึ้นเนินเล่นเอาหอบเบาๆอีกรอบก่อนจะมาบรรจบกับสำนักสงฆ์ในท้ายที่สุด)

TODAY THIS MONTH TOTAL
213 3058 252276
Copyright : 2018 KarnDernTang.com ขอสงวนลิขสิทธิ์เนื้อหาในเว็บไซต์ตามกฎหมาย ห้ามทำซ้ำหรือคัดลอกโดยไม่ได้รับอนุญาต

บริษัทรับทำเว็บไซต์ Design By cw.in.th

Scroll To Top